“ชมพู่เพชรสายรุ้ง” ผลไม้เด่น ของดีเมืองเพชรบุรี ปลูกและเติบโตได้ดีบริเวณแม่น้ำเพชรบุรี ผลชมพู่มีสีสวย รสชาติอร่อย หวานจัดจ้าน ถูกอกถูกใจของคนชอบกินผลไม้ยิ่งนัก ปัจจุบัน กล่าวได้ว่า “เพชรสายรุ้ง” เป็นชมพู่ที่มีราคาแพงที่สุดในโลก เพราะมีราคาขายหน้าสวนสูงถึงกิโลกรัมละ 300 บาท กว่าจะไปถึงมือผู้บริโภค ราคาก็ขยับสูง 400-500 บาท กันทีเดียว แม้จะมีราคาแพงสักหน่อย แต่ผู้บริโภคจำนวนมากก็นิยมซื้อชมพู่เพชรสายรุ้ง เพื่อเป็นของขวัญของฝากผู้ใหญ่ที่นับถือ และเป็นสินค้าส่งออกที่มีลู่ทางเติบโตสดใส
✿ 5 ขั้นตอนในการกำจัดแมลงวันทองให้ได้ผล ✿
เรื่องราวที่เล่าขานเกี่ยวกับความเป็นมาของชมพู่เพชรสายรุ้งโดยทั่วไป มี 2 ตำนาน เรื่องแรก เล่ากันว่า พระครูญาณวิมล (หลวงพ่อพ่วง) เจ้าอาวาสองค์ที่ 2 ของวัดศาลาเขื่อน เป็นคนแรกที่นำชมพู่เพชรสายรุ้ง มาปลูกหน้าวัดศาลาเขื่อน ตำบลตำหรุ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี ในปี 2378 โดยได้รับพระราชทานต้นชมพู่ จำนวน 1 ต้น จากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ชมพู่ที่ปลูกให้ผลผลิตที่มีรสชาติหวาน กรอบ อร่อย ทำให้ผู้คนที่ได้ชิมรู้สึกติดใจ และมาขอตอนกิ่งต้นชมพู่เป็นจำนวนมาก ต่อมาชมพู่ต้นนี้ได้ตายลง เมื่อ ปี 2530 รวมอายุได้ 152 ปี
ต้นทุน และผลตอบแทน
ต้นทุนการผลิตชมพู่เพชรสายรุ้ง ส่วนใหญ่เป็นค่าทำนั่งร้าน ปัจจุบัน ใช้ไม้ไผ่นวลยาว 8 เมตร ในการทำนั่งร้าน 1 ต้น ใช้ไม้ไผ่ประมาณ 100 ลำ (ต้นขนาดใหญ่) ค่าไม้ไผ่ ลำละ 35 บาท ค่าแรงตัดไม้เหมาลำละ 15 บาท รวมเป็นเงินลำละ 50 บาท เฉพาะค่าทำนั่งร้าน ต่อ 1 ต้น ตกประมาณ 5,000 บาท มีอายุการใช้งานประมาณ 3 ปีส่วนต้นทุนค่าห่อ การเก็บผลผลิตชมพู่ต่อ 1 ต้น จะห่อได้ประมาณ 3 รุ่น รวมค่าห่อทั้ง 3 รุ่น ประมาณ 1,000 ถุง ค่าถุงปูนสำหรับห่อ ร้อยละ 60 บาท ตอกสำหรับมัดถุงชมพู่ กิโลกรัมละ 70 บาท ค่าแรงห่อ 2 วัน ค่าแรงเก็บ 1 วัน รวม 3 วันเป็นเงิน 350 บาท ต่อคน ค่าปุ๋ย ค่ายา อีกประมาณ 500 บาท คิดเป็นต้นทุนเฉลี่ย 1 ต้น ต่อปี ประมาณ 3,750 บาท
ด้านผลตอบแทน ชมพู่ 1 ต้น ห่อได้ประมาณ 700 ถุง จะได้ชมพู่ประมาณ 140 กิโลกรัม (รวมทั้ง 3 รุ่น) ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 80 บาท คิดเป็นเงิน 140×80 ตกประมาณ 11,200 บาท หากผลผลิตไม่เสียหาย จะได้กำไรเฉลี่ย ต้นละ 7,450 บาท ต่อปี
🌟 สนใจวิธีกำจัดแมลงวันทองคลิกที่นี่ 🌟
ขอบคุณข้อมูลจากสำนักข่าวไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น